กรุงย่างกุ้ง – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์/20 พฤษภาคม 2556 – สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ พร้อมด้วยสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (UMFCCI) ประสานความร่วมมือในการจัดโรดโชว์เพื่อสร้างโอกาสการเจรจาทางธุรกิจกับกลุ่ม เป้าหมาย และเสริมสร้างความร่วมมืออันดีระหว่างสองประเทศ เพื่อเป็นการเปิดตลาดและส่งเสริมการค้าการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมผ่านงาน แสดงสินค้านานาชาติ โดยกิจกรรมโรดโชว์ครั้งแรกของทีเส็บในครั้งนี้จัดขึ้น ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง กรมการค้าระหว่างประเทศ และสมาพันธ์การท่องเที่ยวเมียนมาร์ ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติใน ประเทศไทยจะช่วยต่อยอดความสำเร็จให้แก่นักธุรกิจชาวเมียนมาร์ และเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจในระดับภูมิภาค อีกทั้งยังได้ร่วมจับคู่ทางธุรกิจ รวมถึงหารือร่วมกับสมาคม และสมาพันธ์การค้าของเมียนมาร์ และผู้จัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติที่นำงานแสดงสินค้านานาชาติชั้นนำใน ไทยกว่า 30 งาน
นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการแสดงสินค้านานาชาติ ทีเส็บ กล่าวว่า “ทั้งประเทศไทยและประเทศ เมียนมาร์ต่างอยู่ในภูมิภาคที่เติบโตรวดเร็วมากที่สุดในโลก โดยทั้งสองประเทศได้มีการพัฒนาความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางการค้ามาอย่าง ยาวนาน ทีเส็บ โดยฝ่ายการแสดงสินค้านานาชาติ มุ่งมั่นในการเป็นหัวหอกสำคัญในการสนับสนุนการเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างเมีย นมาร์และประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน ผ่านงานแสดงสินค้านานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย การเปิดตลาดและส่งเสริมการค้าการลงทุนของแต่ละอุตสาหกรรมด้วยการใช้งานแสดง สินค้าเป็นเครื่องมือซึ่งจะเป็นการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับผู้จัดงานที่ ใช้ประเทศไทยเป็นเวที และเชื่อมโยงกับองค์การ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับองค์กรต่อองค์กร หรือรัฐบาลต่อรัฐบาล ซึ่งนั่นหมายความว่าธุรกิจต่าง ๆ ของเมียนมาร์จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากไทย โดยเฉพาะการค้าผ่านช่องทางงานแสดงสินค้านานาชาติของไทย ซึ่งอยู่ในช่วงที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ที่เมียนมาร์กำลังพัฒนาประเทศในหลาก หลายมิติ”
อุตสาหกรรมการแสดงสินค้าของประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาค อาเซียนถึงร้อยละ 70 ในด้านพื้นที่การจัดแสดงสินค้าโดยรวม พร้อมกันนี้ผู้แสดงสินค้าและผู้ร่วมเข้าชมงานในระดับท็อป 10 ล้วนมาจากประเทศในกลุ่มอาเซียน ประเทศไทย จึงเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนธุรกิจของภูมิภาค ทั้งในด้านจำนวนงานแสดงสินค้านานาชาติ ขนาดพื้นที่แสดงงานโดยรวมต่อปี ขนาดพื้นที่แสดงงานโดยเฉลี่ย และรายได้จากงานแสดงสินค้าต่อปี โดยนอกเหนือจากการการเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจและการค้าที่สำคัญของภูมิภาค และภูมิประเทศที่อยู่ติดกันแล้ว ประเทศเมียนมาร์ยังสามารถเปิดประตูต้อนรับโอกาสทางการค้าและธุรกิจมากมายที่ ไม่เพียงจำกัดอยู่เพียงแค่ระหว่างไทยและเมียนมาร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึง กลุ่มประเทศอาเซียน เอเชีย และระดับโลก เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ องค์ความรู้ และโอกาสด้านการค้าผ่านอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติของประเทศไทย
จากสถิติล่าสุดของ สมาคมอุตสาหกรรมนิทรรศการระดับโลก หรือ UFI แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติของไทยยังคงความเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน ด้วยรายได้รวม 132 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทยถึง 75 งาน นอกจากนี้ ยังมีขนาดพื้นที่จัดงานแสดงสินค้ารวม 462,500 ตารางเมตร รวมถึงยังมีศูนย์การแสดงสินค้าระดับมาตรฐานที่ผ่านการรับรองจาก UFI ถึง 8 แห่ง
โดยในปี 2555 ประเทศไทยเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญระดับท็อป 3 ของเมียนมาร์ โดยข้อมูลสถิติจากกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศอยู่ที่ 7,287 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 211,345.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ร้อยละ 9.85 ด้านข้อมูลการค้าในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2556 นั้นมูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศสูงถึง 1,326 ล้านเหรียญสหรัฐฯ* หรือประมาณ 38,477.83 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.88 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2555
ด้าน มร. อู วิน อ่อง ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (UMFCCI) กล่าวว่า“ในขณะที่อาเซียนกำลังเตรียมพร้อมสู่การก้าวเข้าเป็นประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนในปีพ.ศ. 2558 ยังมีโอกาสแห่งความสำเร็จอีกมากมายที่รออยู่ ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการกจัดกิจกรรมโรดโชว์ในครั้งนี้เป็นนิมิตรหมาย อันดีต่อความร่วมมือทางการค้า รวมถึงอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าระหว่างเมียนมาร์และประเทศไทย นอกจากนี้ การสนับสนุนของ ทีเส็บจะเป็นสะพานเชื่อมต่อเครือข่ายนักธุรกิจเมียนมาร์และสมาชิกของ UMFCCI ในการเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจในระดับภูมิภาค รวมถึงสามารถขยายเครือข่าย และรับฟังข้อมูลของผู้จัดงานแสดงสินค้าผ่านกิจกรรมการจับคู่ทางธุรกิจอีก ด้วย”
โดย 5 อุตสาหกรรมหลักที่กำลังเป็นที่ต้องการของภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ อุตสาหกรรมคมนาคมและการขนส่ง อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร อุตสาหกรรมพลังงาน อุตสาหกรรมการศึกษาและวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ โดยประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของ 8 อุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องจักร อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ อุตสาหกรรมการแพทย์อุตสาหกรรมจิวเวลรี่ อุตสาหกรรมผ้าและสิ่งทอ อุตสาหกรรมพลังงาน และอุตสาหกรรมก่อสร้างและสถาปัตยกรรม
“ภายในงานสัมมนาทางธุรกิจที่จัดขึ้นพร้อมกันนี้ ทีเส็บ พร้อมด้วย ผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติชั้นนำต่างตบเท้าเข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ บริษัท รี้ด เทรดเด็กซ์ จำกัด บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค จำกัด บริษัท บางกอก เอ็กซิบิชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด บริษัท โกลบอล เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป จำกัด บริษัท เมสเซ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี และสมาคมส่งเสริมการค้าอาเซียน พร้อมกันนี้ยังได้นำเสนอถึงความน่าสนใจของงานแสดงสินค้าในประเทศไทย และแนะนำสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ ที่ทางทีเส็บพร้อมจะมอบให้นักธุรกิจ สมาคม และสมาพันธ์ธุรกิจต่าง ๆ ของเมียนมาร์ ผ่านอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าของประเทศไทย” นางศุภวรรณ กล่าวเพิ่มเติม
ประเทศไทย คือ สถานที่จัดงานแสดงสินค้านานาชาติสำคัญมากมายของภูมิภาคอาเซียน ที่ล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่ส่งเสริมการค้า และตอบสนองโดยตรงต่ออุตสาหกรรมประเทศเมียนมาร์ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อ เนื่อง ทั้ง อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุตสาหกรรมเครื่องจักร โดยงานแสดงสินค้านานาชาติของไทยที่พร้อมเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจแก่ประ เทศเมียนมาร์ ได้แก่ งาน Metalex และ Intermach สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องจักร งาน Food & Hotel Thailand, ISRMAX Asia และ Horti Asia สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร Thailand Travel & Dive Expo, Pool & Spa Tech Asia, ASEAN (Bangkok) China Commodity Fair, TFBO & TRAFS สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการ และงาน Thailand Lab, Medical Fair Thailand, Elderly Care สำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์
“งานแสดงสินค้าใน 4 อุตสาหกรรมหลักที่พร้อมเปิดตลาดเมียนมาร์ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศ และเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต พร้อมกันนี้ ทีเส็บ ยังเตรียมสิทธิประโยชน์พิเศษต่าง ๆ สำหรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ที่พร้อมมอบให้สมาคมการค้า สมาพันธ์ธุรกิจ และหอการค้าเมียนมาร์ เช่น 100-A-HEAD เงินสนับสนุนคณะผู้ชมงานคุณภาพที่มาเป็นกลุ่ม อาทิจาก สมาคมการค้า ซึ่งต้องมีระยะเวลาพำนักในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 3 คืน โดยต้องมีจำนวนผู้เข้าชมงานในแต่ละกลุ่มไม่ต่ำกว่า 15 คน โดยจะมอบเงินสนับสนุนจำนวน 100 เหรียญสหรัฐฯต่อคน และ Be My Guest อันเป็นโครงการพิเศษที่พร้อมมอบสิทธิประโยชน์ด้านที่พักฟรีผ่านผู้จัดงาน แสดงสินค้าให้แก่ผู้ซื้อจากทั่วทุกมุมโลก” นางศุภวรรณกล่าวทิ้งท้าย
ด้วยความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาค ธุรกิจต่าง ๆ ของเมียนมาร์ สามารถอาศัยความได้เปรียบของประเทศไทยในการเป็นประเทศในระดับท็อป 3 ในอุตสาหกรรมการแสดงสินค้าในภูมิภาค ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และสาธารณูปโภคครบครัน ทั้ง สนามบินนานาชาติ ที่เชื่อมต่อ 190 จุดหมายปลายทางทั่วทุกมุมโลก ด้วยเที่ยวบินกว่า 500 เที่ยวบินต่อวัน และยังสามารถเชื่อมต่อระหว่างสนามบินและใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ยังพร้อมมอบความคุ้มค่าทางธุรกิจ การพักผ่อนสันทนาการ ด้วยพนักงานด้านต่าง ๆ ที่มีความเป็นมืออาชีพ ที่ทั้งหมดล้วนทำให้การทำธุรกิจในประเทศไทยสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในปี 2555 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน 90 – 100 งานแสดงสินค้าที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้ประกอบการ ต้อนรับผู้เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 180,000 คน สร้างรายได้กว่า 12,711 ล้านบาท ซึ่งจำนวนดังกล่าวมีงานแสดงสินค้าถึง 40 งานที่ผ่านการประเมินโดยบริษัทตรวจสอบในด้านคุณภาพการจัดงานที่ได้มาตรฐาน การจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ และทีเส็บมีส่วนสำคัญในการดึงงานเทรดโชว์ระดับนานาชาติจำนวน 15 งานสู่ประเทศไทย
ในปี 2556 ทีเส็บ ตั้งเป้าในการกระตุ้นอุตสาหกรรมไมซ์ของไทยให้เติบโตขึ้นร้อยละ 5-10 หรือเทียบเท่านักเดินทางกลุ่มไมซ์จำนวน 940,000 คน และจะสามารถสร้างรายได้สู่ประเทศไทยเป็นเงินกว่า 2.93 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 84,970 ล้านบาท โดยอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าไทย คาดว่าจะสามารถดึงดูดนักเดินทางกลุ่มไมซ์ได้ถึง 172,600 คน คิดเป็นร้อยละ 18 ของจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์ทั้งหมด ทั้งนี้ ทีเส็บยังตั้งเป้าการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าของไทยให้สามารถ โตขึ้นสูงสุดร้อยละ 30 ภายในปี 2558 ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าประมาณ 545,000 คน คิดเป็นรายได้มูลค่าสูงถึง 1.55 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 46,500 ล้านบาท พร้อมกันนี้ ปี 2556 ประเทศไทย ยังเดินหน้าเป็นเจ้าภาพจัดงานเมกะอีเว้นท์หลายงาน อาทิ งาน World Stamp Thailand 2013 (2-14 สิงหาคม 2556 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์) และงาน ITU TELECOM WORLD 2013 (19-21 พฤศจิกายน 2556 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี) * อัตราแลกเปลี่ยน: 1 เหรียญสหรัฐฯ = 29 บาท
# # #
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
นางสาวอริสรา ธนูแผลง
โทรศัพท์ 02-694-6095
อีเมล์ arisara_t@tceb.or.th
นายพิษณุ พลายแก้ว
โทรศัพท์ 02-694 6000 ต่อ 3014
อีเมล์ pishnu_p@tceb.or.th